
รีวิวหนังสือ หนังสือ Reasons to Stay Alive เหตุผลที่ยังมีชีวิตอยู่
หนังสือ Reasons to Stay Alive หรือถ้าแปลเป็นไทยก็คือเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ เขียนโดย Matt Haig นักเขียนชาวอังกฤษ หนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเขียนเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์โรคซึมเศร้าของเขาที่เริ่มต้นเมื่อตอนที่เขามีอายุ 24 ปี
ฝนอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกปีที่แล้ว ตอนที่สามีกำลังมีอาการของโรคซึมเศร้ากำเริบอีกครั้ง แต่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราแต่งงานกันมาได้ 7 ปีที่เขามีอาการรุนแรงมาก และเป็นครั้งแรกที่ฝนต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเช่นกัน ดังนั้นฝนจึงพยายามที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากขึ้น ทำความเข้าใจความรู้สึกของสามีมากขึ้น (เขาไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองค่ะ) ช่วงนั้นฝนก็อ่านหนังสือจิตวิทยาเกี่ยวกับโรคซึมเศ้รา ฟังเลคเชอร์เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า และการอ่านประวัติชีวิตที่เขียนจากประสบการณ์ของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็เป็นสิ่งนึงที่ฝนทำ ฝนแค่อยากรู้และอยากเข้าใจมากขึ้นว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไง ในรูปแบบภาษาที่ไม่ใช่ภาษาวิชาการในหนังสือจิตวิทยา แต่จากภาษาของคนธรรมดาๆที่เคยผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาก่อน
การต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าที่กำลังอยู่ในช่วงที่มีอาการกำเริบค่อนข้างรุนแรง ยาที่ใช้อยู่ยังไม่ได้ผล เป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าของคนในครอบครัวและเพื่อนๆใกล้ตัวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งในส่วนที่เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติต่อคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ถูกต้อง และเพื่อที่เราจะได้ดูแลจิตใจของตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะคนที่เป็นโรคซึมเศร้าสามารถพูดหรือทำอะไรที่จะทำร้ายจิตใจคนใกล้ตัวได้เสมอ ดังนั้นหากเราเข้าใจว่านั่นคือการพูดของโรคซึมเศร้านะ ไม่ใช่คำพูดที่คนที่เรารักอยากจะพูดจริงๆก็สามารถช่วยให้เราเข้าใจเขามากขึ้นและเสียใจจากคำพูดหรือการกระทำที่ไม่สนใจความรู้สึกของเราน้อยลง
ระหว่างที่อ่านรีวิวเกี่ยวกับหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าฝนก็มาเจอหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ อ่านง่ายมากเพราะเขียนเป็นย่อหน้าสั้นๆ เป็นหัวข้อสั้นๆ
และ 2 วันก่อนตอนที่รู้สึกว่าอยากจะเขียนรีวิวเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ฝนจึงย้อนกลับไปอ่านมันอีกรอบ ก่อนที่จะเริ่มเขียนรีวิว อ่านรอบที่สองก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม Matt Haig เป็นนักเขียนวรรณกรรมดังนั้นการใช้ภาษาของเขาในหลายๆที่ในหนังสือจึงไม่ใช่การเขียนแบบตรงๆเพื่อเล่าประสบการณ์ของเขา แต่เป็นการเขียนที่มีการวางถ้อยคำที่สวยขึ้น ส่วนที่ฝนชอบมากที่สุดคือส่วนที่เป็นบทสนทนาของตัวเขาในปัจจุบันกับตัวเขาตอนที่กำลังเป็นมีอาการของโรคซึมเศร้ากำเริบ
7 ข้อด้านล่างนี้คือสิ่งที่ฝนได้เรียนรู้จากหนังสือ Reasons to Stay Alive แบบคร่าวๆค่ะ แต่เดี๋ยวจะมีบทความต่อไปอีก 2-3 บทความที่ฝนจะเขียนซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้ กดติดตามเพจของฝนไว้ได้นะคะ หากคุณต้องการได้รับการอัพเดทบทความต่อไปที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่ฝนได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้ค่ะ
1. เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้
Matt เชื่อว่าเหตุผลนึงที่ตัวเลขของผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงที่เป็นโรคซึมเศร้าก็เพราะความเชื่อที่ว่า เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้สิ ต้องเข้มแข็งสิ จึงทำให้ผู้ป่วยผู้ชายขอความช่วยเหลือและเขารับการรักษาหรือพูดเกี่ยวกับความป่วยของตัวเองน้อยกว่าผู้หญิง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่ตัวเลขของการฆ่าตัวตายของผู้ชายมากกว่า Matt ร้องไห้ค่อนข้างบ่อยในตอนที่เขาป่วย หากมันเจ็บปวดจริงๆก็ร้องไห้ออกมา
2. โรคซึมเศร้า
การเป็นโรคซึมเศร้าก็เหมือนการมีสงครามภายในกับตัวเอง แต่เราต้องตระหนักให้ได้ว่าโรคซึมเศร้านั้นตัวเล็กกว่าเรา เราเป็นท้องฟ้าในขณะที่โรคซึมเศร้าคือเมฆฝนที่ผ่านเข้ามาเป็นชั่วครั้งคราว โรคซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ว่าบางคนจะดูเหมือนว่าชีวิตมีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้วก็ตาม โรคซึมเศร้าทำให้เรารู้สึกแย่เกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง บางคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันมีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว มีงานที่ชอบ มีครอบครัวที่ดี มีเงินมากมาย มีบ้านที่อยากได้ แต่ทำไมฉันไม่มีความสุข
3. บทสนทนาข้ามกาลเวลา
บทสนทนาข้ามกาลเวลาระหว่าง Matt ในปัจจุบันและเขาในอดีตตอนที่กำลังป่วยอยู่คือส่วนของหนังสือที่ฝนชอบมากที่สุดส่วนหนึ่ง ในขณะที่เรากำลังมีอาการของโรคซึมเศร้ากำเริบ มันเป็นการยากที่เราจะมองเห็นอนาคต จะเชื่อว่าสามารถมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะความรู้สึกเจ็บปวดใจที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมีมากเกินกว่าจะมีความหวังใดๆ เมื่อสิ่งเดียวที่คุณอยากทำคือการทำให้ความเจ็บปวดเหล่านี้หายไป ไม่ต้องมีความสุขก็ได้ แค่ไม่ต้องทุกข์เท่าที่เป็นอยู่ บทสนทนาข้ามกาลเวลาของตัวเองของ Matt ช่วยให้เห็นว่าชีวิตยังมีความหวังนะ ถึงแม้ว่าในจุดที่เราอยู่จะทำให้เรารู้สึกว่ามันสิ้นหวังแล้วจริงๆ
4. การอ่านเพื่อเยียวยาตัวเอง
Matt บอกว่าการอ่านสำคัญสำหรับเขามากในช่วงที่เขากำลังมีอาการซึมเศร้า เขาอ่านหนังสือเยอะมากในช่วงที่เขาป่วยและไม่สามารถฟังก์ชั่นได้ปกติ ไม่สามารถออกจากบ้านคนเดียวได้ ไม่สามารถทำงานได้ เขาอยู่บ้านและอ่านหนังสือ Matt บอกว่าบางคนอ่านเพราะ “ชอบ” อ่าน แต่เขาอ่านหนังสือเพราะเขา “ต้อง” อ่าน อ่านเพื่อค้นหาตัวเอง อ่านเพื่อทำความเข้าใจตัวเองผ่านตัวหนังสือ หนังสือที่เขาอ่านไม่ใช่หนังสือวิชาการนะคะ แต่เป็นหนังสือวรรณกรรมและหนังสือความเรียงต่างๆ เช่นหนังสือของ Emily Dickinson, Graham Greene, Julian Barnes และ Keith Douglas
5. วิธีการดูแลตัวเองของ Matt Haig
สืบเนื่องจากความรู้สึกที่เขามีตอนที่เขาใช้ยาครั้งแรก ทำให้ Matt ค่อนข้างกลัวกับการใช้ยาต้านโรคซึมเศร้า เขาบอกว่าเขาไม่ได้ต่อต้านการใช้ยา แต่สำหรับเขาเขากลัวการใช้ยาพวกนี้ ยาที่เขายอมใช้คือยานอนหลับ แต่เขาใช้วิธีอื่นๆเพื่อดูแลตัวเอง ได้แก่ การออกกำลังกาย เขาชอบการวิ่งและเล่นโยคะ การนอนให้เพียงพอ การพูดกับคนในครอบครัว การออกไปเจอแสงแดดนอกบ้าน
6. ความรักคือสิ่งที่ช่วยเยียวยาโรคซึมเศร้าได้ดี
ในตอนที่ Matt ยืนอยู่ที่หน้าผาและกำลังตัดสินใจสินใจว่าจะกระโดดดีมั้ย สิ่งที่เขานึกถึงคือพ่อ แม่ น้องสาวและแฟนของเขา 4 คนที่รักเขามาก 4 คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาควรมีชีวิตต่อไป ความรักคือสิ่งที่ช่วยชีวิตเขา ไม่มีใครอยากมีชีวิตอยู่เพื่อไอโฟนเพื่อบ้านหรูๆ เพื่อตำแหน่งงานดีๆ สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรัก ความสัมพันธ์กับคนที่เรารัก ความรักเป็นทั้งเหตุผลที่ทำให้คนคนนึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยา ช่วยเป็นพลังในการก้าวผ่านช่วงแย่ๆของชีวิต Matt กล่าวถึงแฟนของเขาในนั้น (ภรรยาของเขาในตอนนี้) เยอะมากในหนังสือ เพราะความรักของเธอ ความช่วยเหลือและสนับสนุนของเธอทำให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้
7. ยอมรับโรคซึมเศร้า
ถึงแม้ว่าโรคซึมเศร้าจะไม่น่ารัก(อันนี้ภาษาของฝนเอง Matt ไม่ได้เขียนแบบนี้ ฮ่าๆๆ) และโรคซึมเศร้าอาจจะดูน่ากลัว หากคุณต้องเจอกับเขา อย่าพยายามต่อสู้กับเขาแต่ให้ทำความรู้จักและเป็นเพื่อนกับความรู้สึกซึมเศร้าที่ตัวเองมี ยอมรับความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นความคิดหรือความรู้สึกเศร้าๆก็ตาม
คุณสามารถเดินเข้าไปในพายุและรู้สึกถึงสายลมในพายุ แต่คุณไม่ใช่สายลม คุณคือตัวคุณ
โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของเรามากในปัจจุบัน อาจจะด้วยหลายๆเหตุผลด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสังคมไทยเราเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางจิตใจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ และในขณะที่เดียวกันเราอาจจะมีภูมิค้มกันทางจิตใจที่น้อยลงด้วยเช่นกัน ฝนน่าจะได้เขียนเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในอีกหลายๆบทความอยู่ค่ะ จากมุมมองที่ตัวเองเข้าใจ หนึ่งในบทความที่ตั้งใจจะเขียนมานานแล้วก็คือวิธีการปฏิบัติต่อคนที่เป็นโรคซึมเศร้าและวิธีการดูแลตัวเองเมื่อตัวเองต้องดูแลคนที่เป็นโรคซึมเศร้า เพราะเป็นหัวข้อที่ตัวเองได้หาข้อมูลและมีประสบการณ์โดยตรง การป่วยด้วยโรคซึมเศร้านั้นไม่ง่ายเลย การต้องอยู่และดูแลคนที่กำลังมีอาการของโรคซึมเศร้ากำเริบก็ไม่ง่ายเช่นกัน ฝนคิดเรื่องนี้บ่อยอยู่ตอนที่สามีป่วยเยอะๆ (ต้องอยู่ในวอร์ดปิดของโรงพยาบาลในออสเตรเลีย) คิดในใจ นี่ถึงแม้ว่าฝนจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกกกกกก แบบมากกกกจริงๆ (อันนี้คนรอบตัวบอก) การต้องรับมือกับสามีตอนเขาป่วยยังค่อนข้างลำบากสำหรับฝน ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีจัดๆแบบฝนน่าจะลำบากไม่น้อยเช่นกัน
หากคุณผู้อ่านเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหรือเป็นคนที่ต้องดูแลและใช้ชีวิตอยู่เกี่ยวกับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ แล้วอยากแชร์ประสบการณ์หรือวิธีการดูแลตัวเองก็มาแบ่งปันกันได้นะคะ 🙂 และสำหรับคนที่กำลังอยู่ในพายุในตอนนี้ ท้องฟ้าของตัวเองกำลังเต็มไปด้วยเมฆฝน ฝนขอเป็นกำลังใจให้นะคะ เมฆฝนเข้ามาแล้วก็ผ่านไป และท้องฟ้ายิ่งใหญ่กว่าเมฆฝนเสมอค่ะ ฮึบๆ
“How to stop time: kiss.
How to travel in time: read.
How to escape time: music.
How to feel time: write.
How to release time: breathe.”
― Matt Haig, Reasons to Stay Alive


You May Also Like

รีวิวหนังสือ Atomic Habits เปลี่ยนนิสัยตัวเอง
สิงหาคม 28, 2020
รีวิวหนังสือ What I Talk About When I Talk About Running
กรกฎาคม 14, 2020